หน้าที่ของ DBMS
1.เป็นสื่อกลางในการจัดการฐานข้อมูลระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูล
2.ควบคุม ดูแล การสร้าง การเรียกใช้ข้อมูล การจัดทำรายงาน
การปรับเปลี่ยนแก้ไขโครงสร้างและข้อมูล รวมไปถึงการควบคุมต่าง
3.กำหนดข้อมูล (Data Definition)
4.การเรียกใช้ข้อมูล (Data Manipulation)
- เก็บและดูแลข้อมูล (Store and
Maintain Data)
- บรรจุข้อมูลจากฐานข้อมูล (Load Data)
- ประสานงานกับระบบปฏิบัติการ (Operating
System)
5.ควบคุมความปลอดภัยและบูรณภาพของข้อมูล (Data Security and
Integrity)
6.การฟื้นสภาพและการใช้ข้อมูลพร้อมกัน (Data Recovery and
Concurrency)
- จัดทำข้อมูล สำรองข้อมูล (Backup
and Recovery)
- ควบคุมการใช้งานพร้อมกันของผู้ใช้ระบบ (Concurrency
Control)
7.การสร้างพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary)
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบจัดการฐานข้อมูล
ผู้ใช้ และฐานข้อมูล
สถาปัตยกรรมฐานข้อมูล
เนื่องจากการใช้งานฐานข้อมูลผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการออกแบบระบบบานข้อมูลจึงได้มีการซ่อนรายละเอียดที่ซับซ้อนต่างๆไว้ภายใน ทำให้ผู้ใช้จะเห็นข้อมูลที่อยู่ในรูปของนามธรรม และมองเห็นในมุมมองที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการนำข้อมูลต่างๆไปใช้งาน ต่อมาในปี คศ.1975 สถาบัน America National standard Institute ได้มีการกำหนดสถาปัยกรรมฐานข้อมูลขึ้น เรียกว่า ANSI-SPARK โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
เนื่องจากการใช้งานฐานข้อมูลผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการออกแบบระบบบานข้อมูลจึงได้มีการซ่อนรายละเอียดที่ซับซ้อนต่างๆไว้ภายใน ทำให้ผู้ใช้จะเห็นข้อมูลที่อยู่ในรูปของนามธรรม และมองเห็นในมุมมองที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการนำข้อมูลต่างๆไปใช้งาน ต่อมาในปี คศ.1975 สถาบัน America National standard Institute ได้มีการกำหนดสถาปัยกรรมฐานข้อมูลขึ้น เรียกว่า ANSI-SPARK โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1.ระดับภายใน (Internal
Level)
2.ระดับความคิด (Concept
Level)
3.ระดับภายนอก (External Level)
3.ระดับภายนอก (External Level)
ระดับภายใน (Internal level) เป็นระดับที่มองถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลเชิงกายภาพ
ว่ามีรูปแบบและโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลอย่างไร
ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลจริงๆในหน่วยความจำ
โครงสร้างในแต่ละรูปแบบก็จะส่งผลถึงประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน เช่น
การจัดเก็บรายละเอียดของเรคอร์ด การบีบข้อมูล รวมทั้งที่เกี่ยวกับดัชนี (Index) ซึ่งในระดับดังนั้นโครงสร้างในระดับนี้จึงพิจารณาในเรื่องของความเร็วและประสิทธิภาพในการปฏิบัติกับข้อมูล
ระดับแนวคิด (Conceptual
Level) ระดับแนวคิดหรือระดับตรรกะ (Logical Level) ในระดับนี้จะมองความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเป็นสำคัญหรือเรียกว่า
แบบจำลองข้อมูล (Data Model) การใช้งานหรือทำการใดๆในโปรแกรมจากผู้ใช้จะทำอยู่ในระดับนี้เท่านั้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นผู้บริหารฐานข้อมูลหรือโปรแกรมเมอร์
โดยในระดับแนวคิดยังเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้
- จำนวนเอ็นติตี้ทั้งหมด แอตติบิวต์ รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นติตี้
- กฎข้อบังคับในข้อมูล
- ระบบความปลอดภัยข้อบังคับในข้อมูล
ระดับภายนอก (External Level) หรือระดับ (View Level) เป็นข้อมูลเชิงนามธรรมระดับสูงสุด
จะมองการใช้งานของผู้ใช้ในแต่ละคน
ซึ่งถือว่าโครงสร้างระดับภายนอกก็คือบางส่วนของข้อมูลในฐานข้อมูลของโครงสร้างระดับแนวคิด
โดยสามารถกำหนดวิวได้หลายๆวิว ที่แตกต่างกัน
เพื่อป้องกันและรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงให้กับฐานข้อมูลได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ใช้แต่ละคนจะมองเห็นวิวแต่ละวิวที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ
ชนิดของระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลสามารถแบ่งย่อยได้หลายประเภท
ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในการพิจารณา เช่น
1.จำนวนผู้ใช้ แบ่งออกเป็น 2กลุ่ม
1.1ผู้ใช้คนเดียว
ระบบจัดการฐานข้อมูลแบบนี้จะสนับสนุนการใช้งานได้แค่คนเดียว คือ
ถ้ามีบุคคลใช้งานอยู่ จะไม่สามารถเข้าไปใช้งานฐานข้อมูลดังกล่าวได้
ต้องรอให้ผู้ใช้งานคนดังกล่าวใช้งานให้เสร็จก่อนจึงจะใช้งานต่อไปได้
1.2ผู้ใช้หลายคน
เป็นระบบฐานข้อมูลที่สนับสนุนการใช้งานของผู้ใช้หลายคนพร้อมกันในเวลาเดียวกัน คือ
ถ้ามีการใช้งานไม่เกิน 50 user จะเรียกว่า Workgroup
Database แต่ถ้าใช้เกิน จะเรียกว่า Enterprise Database
2.สถานที่ตั้งของฐานข้อมูล
แบ่งออกเป็นฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ และฐานข้อมูลแบบกระจาย
ชนิดของการใช้งานฐานข้อมูล
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ฐานข้อมูลดำเนินการ (operational
database) และฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ (decision
support database)
การประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูล (The
Range of Database Application)
1.ฐานข้อมูลส่วนบุคคล
(Personal Database) เป็นฐานข้อมูลพนักงานขายที่มีการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า
มีการบันทึกรายละเอียดของลูกค้า
ข้อดี
- ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับพนักงานขาย
- บริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้ดีขึ้น
ข้อเสีย
- ไม่สามารถแชร์ข้อมูลร่วมกับบุคคลอื่นได้
2.ฐานข้อมูลระดับเวิร์กกรุ๊ป
(Workgroup Database ) มีจำนวนผู้ใช้งานไม่เกิน 50 คน จุดประสงค์เพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกันภายในเครือข่ายแลน
3.ฐานข้อมูลระดับแผนก
(Department Database) มีจำนวนผู้ใช้ตั้งแต่ 50-100
คน แต่ละแผนกจะมีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกัน
ฐานข้อมูลถูกออกแบบเพื่อสนับสนุนการใช้งานในหน้าที่
ท่ี่แตกต่างกันตามความต้องการในแผนกนั้นๆ
4.ฐานข้อมูลระดับเอนเตอร์ไพรส์
(Enterprise Database) มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนงานเชิงปฏิบัติการและงานด้านการตัดสินใจในองค์กรใหญ่
มีระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงในแต่ละแผนกด้วยกัน คือ
ระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร หรือระบบ ERP (Enterprise Resource Planing) มีการรวบรวมระบบงาน ทำให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งองค์กร เช่น
ระบบขายสินค้าเชื่อมโยงไปยังระบบจัดซื้อ ระบบสินค้าคงคลัง ระบบบัญชี ระบบการเงิน
ระบบทรัพยากรบุคคล ระบบวางแผน เพื่อการผลิตและควบคุม
5.ฐานข้อมูลอินเทอร์เน็ต
(Internet Database) จากผลกระทบในเรื่องของระบบอินเทอร์เน็ต
ทำให้องค์กรหรือหน่่วยงานจำเป็นต้องจัดทำฐานข้อมูลบนเว็บ เพื่อให้ทันกับคู่แข่ง
จึงเกิดรูปแบบของธุรกิจในรูปของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การทำงานของระบบจัดการฐานข้อมูล
จะแบ่งการทำงานออกเป็นมอดูลย่อยๆ
เพื่อรับผิดชอบการทำงานในแต่ละส่วน
การทำงานบางอย่างต้องได้รับการสนับสนุนจากระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
การออกแบบระบบฐานข้อมูลจึงต้องพิจารณาการเชื่อมต่อระหว่างระบบฐานข้อมูลกับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วย
การทำงานสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆด้วยกันคือ
1.หน่วยประมวลผลคิวรี
เช่น ตัวแปรภาษา DML ,ตัวแปรภาษา DDl,ตัวประมวลผลคิวรี
2.ผู้จัดการหน่วยเก็บข้อมูล
(storage manager) เป็นโปแกรมโมดูลที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลกับโปรแกรมประยุกต์
และคิวรีที่ส่งเข้ามาในระบบ ประกอบด้วยส่วนย่อยๆดังนี้
- ผู้จัดการสิทธิและบูรณาภาพ ทำหน้าที่ในการทดสอบกฎข้อบังคับเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูล
- ผู้จัดการทรานแซคชัน ทำหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่่าฐานข้อมูลมีสถานะที่ถูกต้องแม้ว่าระบบจะล้มเหลว
- ผู้จัดการแฟ้มข้อมูล ทำหน้าที่ในการแบ่งสรรพื้นที่บนหน่วยเก็บข้อมูล
และกำหนดโครงสร้างข้อมูลที่จัดเก็บ
- ผู้จัดการบัฟเฟอร์
ข้อดี - ข้อเสีย
ของระบบฐานข้อมูล
ข้อดี
1.โปรแกรมและข้อมูลมีความอิสระ
ไม่กระทบจากโปรแกรมที่ใช้งาน
2.ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
ข้อมูลจะเก็บไว้ที่ส่วนกลางที่เดียว
3.ข้อมูลมีความสอดคล้องกัน
4.การใช้ข้อมูลร่วมกัน ฐานข้อมูลถูกออกแบบมาเพื่อแบ่งปันการใช้งาน แม้จะเก็บไว้ที่เดียว
5.เพิ่มคุณประโยชน์ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่น
ลดต้นทุนในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ใหม่ๆ
6.ความเป็นมาตรฐานเดียวกัน
กำหนดรูปแบบข้อมูลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
7.ข้อมูลมีคุณภาพยิ่งขึ้น
มีการป้องกันแก้ไขข้อมูลในขณะที่มีผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่
ข้อเสีย
1.เทคโนโลยีฐานข้อมูลมีความซับซ้อนมากกว่าแบบไฟล์
ทำให้เกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
2.มีขนาดความจุที่เพิ่มขึ้น
DBMS ที่มีประสิทธิภาพสูงขนาดก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
3.ต้นทุนของ DBMS
มีราคาสูง ราคาจะขึ้นอยู่กับลักษณะการนำไปใช้
4.อุปกรณ์ที่จะนำใช้ต้องมีประสิทธิภาพและมีความเร็วสูง
จึงต้องมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มขึ้น
5.ต้องมีการจัดซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆเพื่อรองรับกับ
DBMS
6.เนื่องจากการใช้งานร่วมกันกับหลายระบบงานทำให้ไม่เหมาะกับงานในบางเรื่อง
7.ข้อมูลต่างๆจัดเก็บอยู่ที่ส่วนกลางเพียงจุดเดียว
ระบบเสียหายจะกระทบในทุกๆส่วนงานที่ใช้ร่วมกัน
ที่มา
:
http://www.pongkorn.net/dbms
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น